วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โปรแกรมท่องเที่ยว



ทัวร์เชียงคาน เลย ภูเรือ ... ทัวร์เชียงคาน เที่ยวเชียงคาน
   จ.เลย 3 วัน 2 คืน


ทัวร์เชียงคาน เลย ภูเรือ โปรแกรมทัวร์เชียงคาน เที่ยวเชียงคาน ทริปเชียงคาน 3 วัน 2 คืน จ.เลย



"เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู"
ภูเรือ : หนาวสุดในสยาม
เชียงคาน : เมืองเก่าริมโขง สุดแสนโรแมนติก

เชียงคาน : เมืองเก่าริมโขง สุดแสนโรแมนติก
วันแรก ทัวร์เชียงคาน เลย ภูเรือ โปรแกรมทัวร์เชียงคาน เที่ยวเชียงคาน ทริปเชียงคาน 3 วัน 2 คืน จ.เลย กรุงเทพฯ - วัดเนรมิตวิปัสสนา - พระธาตุศรีสองรัก - พิพิธภัณฑ์ผีตาโขน (วัดโพนชัย)
06.00 น.คณะพร้อมกัน ณ จุดนัดหมาย เทสโก้ โลตัส ลาดพร้าว-ถนนพหลโยธิน (คลิกดูแผนที่) ออกเดินทางด้วย รถตู้ปรับอากาศ VIP รุ่นใหม่ มุ่งสู่ อ.ด่านซ้าย จ.เลย แวะให้ท่านอิสระอาหารเช้าที่ ข้าวแกงบ้านสวน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
06.30 น.ล้อหมุน !! หากมาช้าเกินกว่านี้ ท่านจะตกทริป และไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ได้ทั้งสิ้น
เที่ยงบริการอาหารเที่ยง (1) ณ แม่บุญมีขนมจีน OTOP อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์
15.00 น.นำท่านนมัสการพระพุทธชินราชจำลอง ณ วัดเนรมิตวิปัสสนา ชมความสง่างามของวิหารที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ให้เวลาถ่ายรูปกันพอสมควร จากนั้นนำท่านนมัสการองค์ พระธาตุศรีสองรัก ซึ่งประชาชนชาวเลยให้ความนับถือมาก *ห้ามสวมเสื้อผ้าที่มีสีแดงทั้งข้างในและข้างนอก จากนั้นนำท่านชม พิพิธภัณฑ์ผีตาโขน(วัดโพนชัย) ศึกษาประวัติความเป็นมาอันยาวนานของประเพณีผีตาโขน

เจดีย์พระธาตุศรีสองรัก ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหมัน สร้างขึ้นสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต(เวียงจันทร์) เมื่อปี พ.ศ. 2103 เสร็จในปี พ.ศ. 2106 พระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างกรุงศรีอยุธยา และเวียงจันทร์ กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงครองราชสมบัติตรงกับสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ และมีการรุกรานดินแดนต่างๆ เพื่อขยายอำนาจ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงตกลงรวมกำลังเพื่อต่อสู้กับพม่า จึงทรงกระทำสัตยาธิษฐานว่าจะไม่ล่วงล้ำดินแดนของกันและกัน และเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีต่อกัน จึงได้ร่วมกันสร้างพระธาตุศรีสองรัก เพื่อเป็นสักขีพยาน ณ กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำน่าน และแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นรอยต่อของทั้งสองราชอาณาจักร นอกจากนี้ภายในพระธาตุศรีสองรักยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรก ศิลปะทิเบต หัวนาคปรกสร้างด้วยศิลา องค์พระพุทธรูปสร้างด้วยทองสัมฤทธิ์ มีหน้าตักกว้าง 21 นิ้ว สูง 30 นิ้ว ทุกวันขึ้น 12 ถึ 15 ค่ำ เดือน 6 ชาว อ.ด่านซ้าย หรือ "ลูกผึ้งลูกเทียน" จะร่วมกันจัดงานสมโภชพระธาตุขึ้น โดยจะนำต้นผึ้งมาถวายพระธาตุ ซึ่งถือเป็นประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นประจำทุกปี
17.30 น.Check in เข้าที่พัก พักผ่อนตามอัธยาศัย
ที่พัก : รังเย็นรีสอร์ท (หรือเทียบเท่าระดับเดียวกัน)
18.30 น.บริการอาหารเย็น (2) ณ ห้องอาหารของรีสอร์ท พักผ่อนตามอัธยาศัย ZZzz
วันที่สอง ทัวร์เชียงคาน เลย ภูเรือ โปรแกรมทัวร์เชียงคาน เที่ยวเชียงคาน ทริปเชียงคาน 3 วัน 2 คืน จ.เลย ภูเรือ - ไร่ทีเอสเอ - ชาโต้ เดอ เลย - เชียงคาน - แก่งคุดคู้ -
ล่องเรือเลียบฝั่งแม่น้ำโขง
05.30 น.อรุณสวัสดิ์ยามเช้า นำท่านเดินทางสู่ จุดชมวิว อุทยานแห่งชาติภูเรือ ชมหินพระศิวะ หินเต่า หินพานขันหมาก นมัสการพระพุทธรูปบนยอดภูเรือ ให้เวลาถ่ายรูปกันพอสมควร จากนั้นเดินทางสู่ที่พัก
08.00 น.บริการอาหารเช้า (3) ณ ห้องอาหารของทางรีสอร์ท Check out ออกจากรีสอร์ท นำท่านเดินทางสู่ ไร่ทีเอสเอ ซึ่งเป็นแปลงไม้ดอกเมืองหนาวนานาพันธุ์ ชม ฟักทองยักษ์ ที่จะทำให้ท่านอัศจรรย์ใจ
11.00 น.แวะซื้อของฝากที่ร้าน ชาโต้ เดอ เลย เช่น ไวน์ชั้นดี "ชาโต้ เดอ เลย", บรั่นดี "วิคตอรี่" รสนุ่ม, องุ่นไร้เมล็ด, มะคาเดเมียเคลือบช็อคโกแลต เป็นต้น ให้เวลาท่านพอสมควร
เที่ยงบริการอาหารกลางวัน (4) นำท่านเดินทางสู่ อ.เชียงคาน
14.30 น.ถึง เชียงคาน Check in เข้าสู่ที่พัก จากนั้น ชมทัศนียภาพอันสวยงามของ แก่งคุดคู้ เลือกซื้อของฝากจากเชียงคาน เช่น มะพร้าวแก้ว ผ้าห่มนวม ฯลฯ
ที่พัก : ดิโอลด์เชียงคาน (หรือเทียบเท่าระดับเดียวกัน)
17.00 น.นำท่าน ล่องเรือเลียบฝั่งแม่น้ำโขง พร้อมชมพระอาทิตย์ตกดินในอีกบรรยากาศหนึ่งของเมืองเชียงคาน
18.00 น.บริการอาหารเย็น (5) ด้วยเมนูปลาน้ำโขงรสแซ่บ หลังอาหาร อิสระในการท่องราตรี บนถนนริมโขง ที่เต็มไปด้วยร้านค้าเก๋ไก๋ น่ารักในแบบของเชียงคาน ใครหมดแรงก็แยกย้ายพักผ่อนตามอัธยาศัย ... zzzzz
วันที่สาม ทัวร์เชียงคาน เลย ภูเรือ โปรแกรมทัวร์เชียงคาน เที่ยวเชียงคาน ทริปเชียงคาน 3 วัน 2 คืน จ.เลย ทะเลหมอกภูทอก - ตลาดเช้าเชียงคาน - วัดศรีคุณเมือง - สวนหินผางาม (คุนหมิงเมืองไทย) - กรุงเทพฯ
ทัวร์เชียงคาน เลย ภูเรือ โปรแกรมทัวร์เชียงคาน เที่ยวเชียงคาน ทริปเชียงคาน 3 วัน 2 คืน จ.เลย จ.เลย
05.30 น.อรุณสวัสดิ์ยามเช้าตรู่ นำท่านไปชมทะเลหมอกที่ ภูทอก จุดชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นของเมืองเชียงคาน ให้เวลาถ่ายรูปกันพอสมควร
07.30 น.บริการอาหารเช้า (6) ณ ห้องอาหารของรีสอร์ท หลังอาหาร Check out ออกจากที่พัก พาไปเดิน ตลาดเช้าเชียงคาน หากมีโอกาสอย่าลืมชิมปาท่องโก๋ยัดไส้ ที่ขึ้นชื่อของเมืองเชียงคาน ให้เวลาถ่ายรูปกันพอสมควร
10.00 น.พาท่านไปยัง วัดศรีคุณเมือง ชมภาพจิตกรรมฝาผนังฝีมือช่างไม้สมัยโบราณ จากนั้น ออกเดินทางสู่ กิ่ง อ. หนองหิน
เที่ยงบริการอาหารกลางวัน (7) หลังอาหารนำท่านเข้าสู่ดินแดน สวนหินผางาม พิสูจน์ความงามตามธรรมาชาติ จนได้รับฉายาว่า "คุนหมิงเมืองไทย" ท่านจะได้พบกับอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี ไกด์ท้องถิ่นนำคณะปืนป่าย ลอดมุด สนุกสนานกับเขาวงกต (ผจญภัยเล็กน้อย)
15.00 น.เดินทางกลับ กทม. โดยแวะให้รับประทานอาหารเย็นกันตามอัธยาศัย ถึงกรุงเทพฯ ไม่เกินเที่ยงคืน โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ
************************************


วัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย

           การติดต่อกับชาวต่างชาติของคนไทยในยุคสมัยต่าง ๆ มีผลต่อสังคมไทยหลายด้าน  วัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย  โดยวัฒนธรรมบางอย่างได้ถูกปรับใช้ให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตและประเพณีดั้งเดิมของคนไทย  ขณะที่วัฒนธรรมบางอย่างรับมาใช้โดยตรง
          1.  วัฒนธรรมตะวันออกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย
           อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันออกต่อสังคมไทยมีมาตั้งแต่ก่อนการตั้งอาณาจักรของคนไทย  เช่น  สุโขทัย  ล้านนา  ซึ่งมีทั้งวัฒนธรรมที่รับจากอินเดีย  จีน  เปอร์เซีย  เพื่อนบ้าน  เช่น  เขมร  มอญ  พม่า  โดยผ่านการติดต่อค้าขาย  การรับราชการของชาวต่างชาติ  การทูต  และการทำสงคราม
           สำหรับตัวอย่างอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันออกที่มีต่อสังคมไทยมีดังนี้
           1.  ด้านอักษรศาสตร์  เช่น  ภาษาไทยที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยสุโขทัยได้รับอิทธิพลจากภาษาขอม  รับภาษาบาลี  ภาษาสันสกฤตจากหลายทางทั้งผ่านพระพุทธศาสนา  ผ่านศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  จากอินเดีย  เขมร  นอกจากนี้  ในปัจจุบันภาษาจีน  ญี่ปุ่น  เกาหลี  ก็ได้มีอิทธิพลต่อสังคมไทยมากขึ้น
2.  ด้านกฎหมาย  มีการรับรากฐานกฎหมาย  มีการรับรากฐานกฎหมายอินเดีย  ได้แก่  คัมภีร์พระธรรมศาสตร์  โดยรับผ่านมาจากหัวเมืองมอญอีกต่อหนึ่ง  และกลายเป็นหลักของกฎหมายไทยสมัยอยุธยาและใช้มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
                     3.  ด้านศาสนา  พระพุทธศาสนาเผยแผ่อยู่ในผืนแผ่นดินไทยมาเป็นเวลายาวนานแล้ว  ดังจะเห็นได้จากแว่นแคว้นโบราณ  เช่น  ทวารวดี  หริภุญชัยได้นับถือพระพุทธศาสนา  หรือสุโขทัย  รับพระพุทธศาสนาจากนครศรีธรรมราชและได้ถ่ายทอดให้แก่อาณาจักรอื่น ๆ ซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตและการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมของคนไทยตลอดมา  นอกจากนี้  คนไทยยังได้รับอิทธิพลในการนับถือศาสนาอิสลามที่พ่อค้าชาวมุสลิมนำมาเผยแผ่  รวมทั้งคริสต์ศาสนาที่คณะมิชชันนารีนำเข้ามาเผยแผ่ในเมืองไทยนับตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา
                     4.  ด้านวรรณกรรม  ในสมัยอยุธยาได้รับวรรณกรรมเรื่องรามเกรียรติ์  มาจากเรื่องรามายณะของอินเดีย  เรื่องอิเหนาจากชวา  ในสมัยรัตนโกสินทร์ได้มีการแปลวรรณกรรมจีน  เช่น  สามก๊ก  ไซอิ๋ว  วรรณกรรมของชาติอื่น ๆ เช่น  ราชาธิราชของชาวมอญ  อาหรับราตรีของเปอร์เซีย  เป็นต้น
                     5.  ด้านศิลปวิทยาการ  เช่น    เชื่อกันว่าชาวสุโขทัยได้รับวิธีการทำเครื่องสังคโลกมาจากช่างชาวจีน  รวมทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรมเนื่องในพระพุทธศาสนาจากอินเดีย  ศรีลังกา
                     6.  ด้วยวิถีการดำเนินชีวิต  เช่น   คนไทยสมัยก่อนนิยมกินหมากพลู  รับวิธีการปรุงอาหารที่ใส่เครื่องแกง  เครื่องเทศจากอินเดีย  รับวิธีการปรุงอาหารแบบผัด  การใช้กะทะ  การใช้น้ำมันจากจีน  ในด้านการแต่งกาย  คนไทยสมัยก่อนนุ่งโจงกระเบนแบบชาวอินเดีย  เป็นต้น
 
          2.  วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย
           ไทยได้รับวัฒนธรรมตะวันตกหลายด้านมาตั้งแต่สมัยอยุธยา  ในระยะแรกเป็นความก้าวหน้าด้านการทหาร  สถาปัตยกรรม  ศิลปวิทยาการ  ในสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 3  เป็นต้นมา  คนไทยรับวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้น  ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีของคนไทยมาจนถึงปัจจุบัน
           ดัวอย่างวัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยที่สำคัญมีดังนี้
                     1.  ด้านการทหาร  เป็นวัฒนธรรมตะวันตกแรก ๆ ที่คนไทยรับมาตั้งแต่อยุธยา  โดยซื้ออาวุธปืนมาใช้  มีการสร้างป้อมปราการตามแบบตะวันตก  เช่น  ป้อมวิไชยประสิทธิ์ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  ออกแบบโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส  ในสมัยรัตนโกสินทร์มีการจ้างชาวอังกฤษเข้ามารับราชการเพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการทหาร  มีการตั้งโรงเรียนนายร้อย  การฝึกหัดทหารแบบตะวันตก
                     2.  ด้ารการศึกษา  ในสมัยรัชกาลที่ 3  มีชนชั้นนำจำนวนหนึ่ง  เช่น  พระอนุชาและขุนนางได้เรียนภาษาอังกฤษและวิทยาการตะวันตก  ในสมัยรัชกาลที่ 4  ทรงจ้างครูต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษและความรู้แบบตะวันตกในราชสำนัก
                     ในสมัยรัชการลที่ 5  มีการตั้งโรงเรียนแผนใหม่  ตั้งกระทรวงธรรมการขึ้นมาจัดการศึกษาแบบใหม่  ทรงส่งพระราชโอรสและนักเรียนไทยไปศึกษาที่ประเทศต่าง ๆ เช่น  โรงเรียนแพทย์  โรงเรียนกฎหมาย  ในสมัยรัชกาลที่ 6  มีพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับและการตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
                     3.  ด้านวิทยาการ  เช่น  ความรู้ทางด้านดาราศาสตร์  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ความรู้ทางดาราศาสตร์จนสามารถคำนวณการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างถูกต้อง  ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่  ซึ่งเริ่มในสม้ยรัชกาลที่ 3  ในสมัยรัชกาลที่ 5  มีการจัดตั้งโรงพยาบาล  โรงเรียนฝึกหัดแพทย์และพยาบาล  ความรู้ทางการแพทย์แบบตะวันตกนี้ได้เป็นพื้นฐานทางการแพทย์และสาธารณสุขไทยในปัจจุบัน
                     ด้านการพิมพ์  เริ่มจากการพิมพ์หนังสือพิมพ์รายปักษ์ภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2387  ชื่อ  "บางกอกรีคอร์เดอร์"  การพิมพ์หนังสือทำให้ความรู้ต่าง ๆ แพร่หลายมากขึ้น  ในด้านการสื่อสารคมนาคม  เช่น  การสร้างถนน  สะพาน  โทรทัศน์  โทรศัพท์  กล้องถ่ายรูป  รถยนต์  รถไฟฟ้า  เครื่องคอมพิวเตอร์  เป็นต้น  ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่คนไทยเป็นอย่างมาก
                     4.  ด้านแนวคิดแบบตะวันตก  การศึกษาแบบตะวันตกทำให้แนวคิดทางการปกครอง  เช่น  ประชาธิปไตย  คอมมิวนิสต์  สาธารณรัฐแพร่เข้ามาในไทย  และมีความต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง  นอกจากนี้  วรรณกรรมตะวันตกจำนวนมากก็ได้มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนรูปแบบการประพันธ์จากร้อยกรองเป็นร้อยแก้ว  และการสร้างแนวคิดใหม่ ๆ ในสังคมไทย  เช่น  การเข้าใจวรรณกรรมรูปแบบนวนิยาย  เช่น  งานเขียนของดอกไม้สด  ศรีบูรพา
                     5.  ด้านวิถีการดำเนินชีวิต  การรับวัฒนธรรมตะวันตกและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มาใช้  ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไป  เช่น  การใช้ช้อนส้อมรับประทานอาหารแทนการใช้มือ  การนั่งเก้าอี้แทนการนั่งพื้น  การใช้เครื่องแต่งกายแบบตะวันตกหรือปรับจากตะวันตก  การปลูกสร้างพระราชวัง  อาคารบ้านเรือนแบบตะวันตก  ตลอดจนนำกีฬาของชาวตะวันตก  เช่น  ฟุตบอล  กอล์ฟ  เข้ามาเผยแพร่  เป็นต้น

Post Modern


File:Portland Building 1982.jpg


                             Post Modern คือ แนวความคิดที่มาหลังจากยุค modern ซึ่งเป็นช่วงหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่อะไรต่างๆถูกกำหนดอยู่ในหลักเกณฑ์และทฤษฏี แต่ยุค postmodern เป็นยุคที่ปฏิเสธสิ่งเดิมๆในยุคmodern โดยเน้นเสรีภาพและอิสระของบุคคล ไม่เชื่อในโลกของความจริง ไม่เชื่อเรื่องความเป็นสากล เพราะเชื่อว่าแต่ละคนแต่ละวัฒนธรรมนั้นมีเหตุผลของตัวเอง ไม่ควรจะให้ใครมาตัดสินว่าอันไหนสิ่งใดดีที่สุด แล้วคิดว่าสิ่งนั้นต้องดีสำหรับคนอื่นด้วย ดังนั้นจึงไม่คิดว่าสังคมที่คิดว่าเป็นสากลนั้นไม่มีจริง
       Post Modern เป็นยุคหลัง Modern จึงทำให้เกิดการถวิลหา คลาสิค เป็นยุคที่นำเอา ความแข็งกร้าว ตรงไปตรงมา สัจจะแห่งเนื้อแท้ มารวมกับ ความนุ่มนวล อ่อนช้อย ลวดลายมากมาย การปกปิดสัจจะแห่งเนื้อแท้มาก+น้อย = Post Modern
ง่ายๆ เอาตำรา The Seven Lamp for Architecture (เป็นตำราทางสถาปัตยกรรมเล่มแรกของโลก) รวมกับ Theory ของ บาวเฮ้าส์ มารวมกันก็ได้ Post Modern...
       Post Modern เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นในปลายยุคทศวรรษที่ 80 นำโดยกลุ่มนักออกแบบที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น Michael Graves, Philippe Starck เป็นต้น คำว่า PostModern มาจากคำว่า Post ซึ่ง แปลว่าหลังและ Modern ก็หมายถึงยุค Modernนั่นเอง ความหมายรวมของPostModern หมายถึง รูปแบบงานออกแบบในยุคหลังจากModern นั่นเอง
หลักการโดยทั่วไปของ Post Modern คือการสร้างรูปแบบงานออกแบบใหม่ที่ไม่ใช่ทั้ง Modern และ รูปแบบ Classic แต่กลับเป็นการสร้างลูกผสมระหว่างทั้งสองรูปแบบขึ้นมาดังจะ เห็นได้จากผลงานส่วนใหญ่ของรูปแบบนี้จะมีการสร้างชิ้นงานแบบ Modern ที่เรียบง่าย และมีรูปทรงที่โดดเด่น เตะตา แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการอ้างอิงถึงรายละเอียด หรือกลิ่นอายของงาน Classic ไปด้วยในตัว
      ในบางครั้งงาน Post Modern ก็จะไปเน้นที่การเล่นเรื่อง Space กล่าวคือ Space ของงาน Classic มักจะเน้นที่ ความหรูหรา ใหญ่โตและอลังการ ในขณะที่รูปแบบ Modern จะเน้นที่ความเรียบง่าย และการสร้างความรู้สึกที่สัมผัสได้ ในทันทีที่เข้าไปพบ หรือสัมผัสแต่รูปแบบ Post Modern มักจะเน้นที่ การสร้างความรู้สึกคล้ายใช่ และ คล้ายไม่ใช่ โดยมักจะสร้าง Space ที่ให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ในแต่ละ ก้าวย่าง ที่เข้าไปสัมผัส
      รูปแบบ Post Modern ก็มักจะมีการใช้สีสรรที่สดใส หรือวัสดุที่แปลกใหม่ ตลอดจนรูปทรงที่แปลกตา เข้ามาใช้ในงานด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอาคาร สถาปัตยกรรม ทำให้เรามักจะได้เห็น อาคารรูปทรงแปลกประหลาด หรือมีสีสรร สดใสตัดกับอาคารสี่เหลี่ยมทึบตันรอบข้าง โผล่มาอย่าง น่าประทับใจ
      ความแปลกใหม่และลูกเล่นที่สร้างสรรค์ต่างๆ เหล่านี้ ได้สร้างให้งาน Post Modern ขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็วและด้วยเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่ทันสมัย ยิ่งทำให้งานออกแบบนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก Post Modern กลายเป็นรูปแบบใหม่ ่ที่นักออกแบบทั่วโลกให้ความสนใจ และยินดีที่จะสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบนี้ ภายหลังจากที่ ต้องเก็บกดอยู่นานกับความเรียบง่าย วัสดุที่จำกัด และรูปทรงเรขาคณิต ของงาน Modern

การพัฒนาของศิลปะวัฒนธรรมตะวันตก




1. ศิลปะและการออกแบบหลังสงครามโลกครั้งที่1
1.1 เรียลลิซึม

                       คำว่า Realism หรือสัจนิยม มีการเอามาใช้ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1840 โดยเริ่มต้นขึ้นในประเทศฝรั่งเศส แม้ว่าสไตล์นี้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมาก่อนแล้ว โดยเน้นไปที่การสังเกตธรรมขาติ การ เขียนความจริงที่เกิดขึ้น

และการวิพากวิจารณ์เรื่องการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ศิลปินในกลุ่มนี้
ต่อต้านการนำเอาเรื่องราวของตำนานหรือประวัติศาสตร์กรีกโรมันมาเขียนเป็นภาพเพราะเชื่อว่า
ไม่ใช่สิ่งที่ศิลปินประสบพบเจอด้วยตนเองจึงไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดออกมา
ได้ทั้งหมด ภาพเขียนของกลุ่มสัจนิยมจึงเน้นการวาดภาพและการใช้สีที่อ้างอิงจากความเป็นจริงไม่
มีการเสริมแต่งให้ดูเกินจริงเหมือนกับกลุ่มโรแมนติค
ศิลปิน
      1. มิเล (Jean-Francisco Millet) ศิลปินชางฝรั่งเศส เขาชอบเขียนผลงานเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะชาวนา ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือภาพ คนเก็บข้าว (The Gleanners) ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากยุคโรแมนติคเข้าสู่เรียลลิสต์
       2. กูร์เบ (Gustave Courbet) เขามีความเชื่อว่าศิลปินสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ที่ตนประสบได้ดีกว่าสิ่งที่ตนไม่เคยพบเห็น ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธจิตรกรรมนีโอ-คลาสสิซิซึม ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือภาพ สตูดิโอของข้าพเจ้า (The Interior of My Studio : A Real AllegorySumming Up Seven Years of My Life as an Artist)
      3. โดมิเย (Honore Daumier) เขาถือว่าเป็นทั้งศิลปินโรแมนติซิสต์และเรียลลิสต์ในเวลาเดียวกัน ผลงานของเขามักสื่อถึงเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคมได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด โดยจะใช้วิธีการร่างภาพหยาบๆ ไม่เน้นรายละเอียด ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาได้แก่ ภาพ อิสรภาพของสิ่งพิมพ์ (The Freedom of the Press : Don’t Meddle with it) ซึ่งถูกหนังสือพิมพ์เลอ ชาริวารีประท้วงและเซ็นเซอร์ผลงานของเขา
      4. มาเน (Eduard Manet) ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือภาพ งานเลี้ยงบนสนามหญ้า(Dejeuner sur I’Herbe) ซึ่งเป็นการประชดประชันชนชั้นขุนนางของฝรั่งเศสในยุคนั้น ผลงานชิ้นนี้จัดว่าเข้าข่ายผลงานแบบเรียลลิซึ่ม แต่ผลงานภายหลังของเขาหันไปทำงานในแบบอิมเพรสชั่นนิซึมผลงานที่มีชื่อเสียงอีกชิ้นของเมเนคือ โอลิมเปีย (Olympia) ซึ่งสร้างความอื้อฉาวเป็นอย่างมากหอศิลป์ (Salon) ปฏิเสธภาพเขียน งานเลี้ยงบนสนามหญ้าของมาเน แต่กลับยอมรับภสพโอลิมเปีย ซึ่งทำให้เกิดการวิพากวิจารณ์อย่างรุนแรงเพราะทางหอศิลป์ ไม่ยอมรับงานสมัยใหม่หรืองานหัวก้าวหน้า ทำให้ในปี 1863 เกิดการประท้วงกรรมการของหอศิลป์ ที่ปฏิเสธผลงานภาพเขียนกว่า 4000 ชิ้น จนภายหลังพระเจ้านโปเลียที่ 3 ออกคำสั่งอนุญาตให้เปิดนิทรรศการพิเศษชื่อว่า หอศิลป์สำหรับงานที่ถูกคัดออก (Salon des Refuses) เพื่อแสดงผลงานของศิลปินที่ถูกคัดออกได้แก่
มาเน, ปิซาโร, เซซานน์ เป็นต้น

1.2 อิมเพรสชั่นนิซึ่ม

             Impressionism หรือลัทธิประทับใจ ก่อตัวที่ปารีสในช่วง ค.ศ. 1860 และดำเนินต่อไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นกลุ่มที่นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องแสงสีเพื่อแสดงบรรยากาศตามเวลาและฤดูกาลต่างๆ และเนื่องจากเป็นยุคที่วิทยาศาสตร์พัฒนาสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นเดินทางที่มีการนำเอารถไฟมาใช้จึงสามารถเดินทางไปยังสถานที่ไกลๆ รวมถึงการคิดค้นสีหลอด จึงทำให้ศิลปินสามารถเดินทางไปวาดภาพในสถานที่ต่างๆได้โดยง่ายการทำงานของศิลปินในกลุ่มนี้จะใช้วิธีการวาดภาพที่รวดเร็วฉับไว โดยมักจะทิ้งรอยแปรงหรือเส้นที่เกิดจากการร่างภาพเอาไว้ ไมได้เกลี่ยเรียบเป็นเนื้อเดียวกันแบบศิลปะยุคก่อนหน้านั้นรวมถึงมีการใช้สีหลากหลายโดยนำเอาเนื้อสีแท้ๆมาใช้แทนที่จะเป็นการแรเงาด้วยสีเทาหรือสีดำส่วนทางด้านเนื้อหากลุ่มอิมเพรสชั่นนิซึมมีความแตกต่างจากเรียลลิซึมตรงที่ไม่ได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมและการเมือง แต่จะนำเสนอเรื่องราวของชีวิตประจำวัน ชีวิต ความสนุกสนานทิวทัศน์ เป็นต้น นอกจากนี้ผลงานในรูปแบบอิมเพรสชั่นนิซึมยังได้รับอิทธิพลการใช้สีมาจากภาพพิมพ์ญี่ปุ่นซึ่งเป็นสินค้านำเข้าของยุคนั้น
ศิลปิน
      1. มาเน ในช่วงแรกๆมาเนถูกจับแยกออกจากกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์เพราะไม่ยอมรับเรื่องการใช้สีสดและเรื่องแสง จนภายหลังผลงานชื่อ บาร์ที่โฟลี-แบร์แชร์ (Bar at the Folies-Bergere) จึงมีการใช้สีในแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ โดยเฉพาะงานยุคหลังๆของเขาที่ใช้วิธีการแต้มสีเป็นจุดเล็กๆซึ่งส่งอิทธิพลไปถึงศิลปินในกลุ่มนีโอ- อิมเพรสชั่นนิซึส
      2. เดอกา (Edgar Degas) เขามักนิยมเขียนภาพของสตรี ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาได้แก่ภาพ ความว่างเปล่า (Absinthe) และภาพการฝึกเต้นรำ (The Dancing Lesson)
      3. โมเน (Claude Monet) เขาจัดว่าเป็นศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ที่มีฝีมือเหนือกว่าคนอื่นทั้งหมด เขาศึกษาการใช้สีอย่างเข้มงวด โดยเขาชอบทำงานกลางแจ้ง แทนที่จะทำงานในสตูดิโอผลงานของเขามักใช้สีอย่างหลากหลายที่มีชื่อเสียงได้แก่ภาพ มุมของแซงต์-อะเดรสส์ (Terrace of Sainte-Adresse) และ สระบัว (Water Lily Pond) ผลงานทั้ง 2 ชิ้นเป็นจิตรกรรมกลางแจ้ง ซึ่งเป็นแบบฉบับให้แกศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์
      4. เรอนัวร์ (Auguste Renoir) ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาได้แก่ภาพ หญิงสาวครึ่งท่อนใต้แสงแดด (Torso of a Woman in the Sun) และอาหารเที่ยงในงานสังสรรค์บนเรือ (Luncgeon of theBoating Party)
      5. ปิซาโร (Camille Pissarro) ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือ จัตุรัสโรงละครฟร็องเซ (Placedu Theatre Francais) ซึ่งการทำงานของเขาได้อิทธิพลมาจากการถ่ายภาพ ทำให้ภาพเขียนของเขามี
ลักษณะคล้ายกับภาพถ่าย
      6. โรแด็ง (Auguste Rodin) เป็นประติมากรอิมเพรสชั่นนิสต์ที่มีชื่อเสียงมาก โดยผลงานของเขาจะทิ้งในส่วนของพื้นผิวไว้ให้มีลักษณะสูงต่ำ ไม่มีขัดจนเรียบเหมือนผลงานประติมากรรมในอดีต ในบางครั้งอาจจะมองดูว่าผลงานยังไม่เสร็จ จึงทำให้เกิดการะสะท้อนของแสง เช่นเดียวกับรอยแปรงของผลงานอิมเรสชั่นนิซึม จึงสามารถบอกได้ว่าผลงานของเขามีคุณสมบัติของงานอิมเพรสชั่นนิซึ่ม


1.3 โพส-อิมเพรสชั่นนิซึ่ม
                คำว่า Post-Impressionism แปลว่าแนวร่วมหลังยุคอิมเพรสชั่นนิซึม ซึ่งหมายถึงกลุ่มงานจิตรกรรมประเภทหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากอิมเพรสชั่นนิซึม แต่มีความแตกต่างโดยที่โพส-อิมเพรสชั่นนิซึ่มจะนิยมใช้สีสดมากกว่าและมีการตัดทอนภาพให้หลือเพียงแค่รูปทรงมากกว่ากล่าวคือมีการนำสัญลักษณ์เข้ามาใช้ เน้นการตีกรอบรูปทรง ให้แยกกันโดยชัดเจนผลงานจึงดูมีความหยาบและรุนแรงกว่า ซึ่งงานศิลปะของกลุ่มนี้ส่งผลต่อกลุ่มนามธรรมที่ตามมา
ศิลปิน
     1. ตูลูส-โลเตร็ก (Henri de Toulouse-Lautrec) เขามักเขียนภาพเกี่ยวกับไนต์คลับ คาเฟ่ บาร์โดยใช้การสเก๊ตช์คร่าวๆแล้วใส่สีลงไปในบริเวณที่สเก็ช ผลงานที่มีชื่อเสียงได้แก่ การเต้นรำที่มูเล็ง
รูช (Quadrille at Moulin Rouge)
     2. เซซานน์ (Paul Cezanne) เขาเป็นศิลปินโพส-อิมเพรสชั่นนิซึ่มที่มีความสำคัญมากที่สุดคนหนึ่ง ผลงานของเขามักตัดทอนจนเหลือเพียงโครงสร้างหรือรูปทรงเรขาคณิต นอกจากนี้ยังมีการใช้สีดำในการตัดเส้นกรอบของรูปทรงต่างๆด้วย โดยมักเขียนภาพหุ่นนิ่งและภาพเหมือนของตัวเองซึ่งผลงานในยุคแรกของเขามีลักษณะไม่แตกต่างไปจากศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชั่นนิซึ่ม แต่ในยุคหลังจึงเน้นการตัดทอนภาพมากขึ้น เช่นภาพ คนอาบน้ำ (The Great Bathers) ผลงานของเซซานน์ถือว่าเป็นอิทธิพลสำคัญของผลงานศิลปินในยุคต่อมาอย่างมาก
    3. เซอรา (George Seurat) ผลงานของเขาได้อิทธิพลมาจากเซซานน์และเรื่องราวของอิมเพรสชชั่นนิสต์ยุคแรก โดยเขาจะใช้วิธีการแต้มสีเป็นจุดๆลงไป โดยให้สีทั้งหมดผสมสีกันเองในสายตาของคนดู เหมือนการผสานกันของจุดสีตามหลักวิทยาศาสตร์ ผลงานของเขาจึงมีขนาดใหญ่มากและจำเป็นต้องมองจากระยะห่างจึงจะรู้ว่าเป็นภาพอะไร ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาได้แก่อาทิตย์ยามบ่ายบนเกาะลา กร็องด์ จัตต์ (Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte) เขา
เรียกผลงานของเขาว่า Divisionist แต่กลับเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายว่า นีโอ-อิมเพรสชั่นนิสต์ (Neo-Impressionist) และพอยทิลลิสต์ (Pointillist)
    4. ฟาน ก๊อก (Vincent Van Gogh) ในยุคแรกเขาทำงานในแบบอิมเพรสชั่นนิสต์มาก่อน แต่ภายหลังเขาก้พัฒนาผลงานโดยมักใช้ฝีแปรงหนา สีสด และมักใช้สีเป็นก้อนจำนวนมากไปวางบนผลงานเลย จึงทำให้เกิดความรุนแรงของพื้นผิวที่นูนออกมาเกินความจริงจากผลงานของเขา เขานิยมวาดภาพเหมือนของตัวเองมาก ผลงานที่มีชื่อของเขาคือ คืนที่ดาวกระจ่างฟ้า (Starry Night)
    5. โกแก็ง (Paul Gauguin) ผลงานของเขาใช้เส้นที่บิดเบี้ยวลักษณะคล้ายคลื่น ระบายสีเรียบมีเนื้อสีสดใสดูเกินจริง และมักตัวขอบภาพด้วยเส้นสีดำ ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาได้แก่ พระคริสต์สีเหลือง (Yellow Christ) นอกจากนี้โกแก็งยังมีความหลงใหลในผู้คนชาวตาฮิติ โดยเขาใช้ชีวิตช่วงที่เหลืออยู่บนเกาะทะเลใต้และวาดผลงานที่เป็นภาพเปลือยของหญิงสาวชาวตาฮิติมากมาย


1.4 ซิมโบลิซึ่ม
              ผลงานในกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับจินตนาการมากกว่าธรรมชาติ จะนิยมเขียนภาพโดยใช้สัญลักษณ์แสดงออก โดยสัญลักษณ์อาจจะไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในภาพตรงๆเกี่ยวกับเรื่องลึกลับสภาวะทางจิต ซึ่งมีความแต่งต่างจากผลงานคลาสสิซิซึ่มตรงที่จะต้องอาศัยตีความหมาย ในด้านรูปแบบของการสร้างงานนั้น ศิลปินในกลุ้มนี้ยังหยิบยกเอาเทคนิควิธีการของลัทธิอื่นมาใช้ด้วยดังนั้นทำให้ผลงานของศิลปินหลายคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้นอาจจะกลายได้ว่าซิมโบลืซึมเป็นเรื่องของเนื้อหาที่นำเสนอ
ศิลปิน
    1. มอโร (Gustav Moreau) เขาถือว่าเป็นผู้นำของกลุ่มซิมโบลิซึ่มฝนฝรั่งเศส ผลงานที่มีชื่อเสียงได้แก่ ภาพ ออร์ฟีอุส (Orpheus) ซึ่งนำมาจากตำนานของกรีก เพียงแต่ว่างานของมอโรมีความลึกลับ มืดหม่น และมีการใช้สีที่แปลกประหลาด เป็นลักษณะหนึ่งของกลุ่มซิมโบลิซิสต์
    2. มุงก์ (Edvard Munch) เขาผสมเอารูปแบบของโพส-อิมเพรสชั่นนิสต์ เข้ากับเนื้อหาของซิมโบลิสต์ จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะตัว ผลงานของเขามีความน่ากลัว วิปริต มืดหม่น เต็มไปด้วยความทุกข์และความตาย ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือภาพ คนกรีดร้อง (The Scream)
    3. รูโซ (Henri Rousseau) เขาได้รับการขนานนามว่า จิตรกรผู้ไร้เดียวสา เพราะเขาไม่เคยได้รับการศึกษาทางด้านศิลปะอย่างเป็นทางการ ทำให้ผลงานของเขามีรูปแบบที่ผิดส่วน และขัดแย้งโดยผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือ ความฝัน (The Dream)


1.5 อาร์ตนูโว
                  อาร์ตนูโว (Art Nouveau) มีอิทธิพลอย่างมากในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เป็นความพยายามของหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ ฝรังเศส และเยอรมัน อาร์ตนูโวจะไม่นิยมใช้เส้นตรงและมุมแหลม แต่จะใช้เส้นที่มีการเคลื่อนไหวไปในธรรมชาติ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากกอธิค (ในแง่การใช้รูปทรงธรรมชาติ) โรโกโก (ในแง่การใช้ประดับตกแต่ง) และเซลติกซึ่งเป็นศิลปะของชาวพื้นเมืองอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นเส้นสายของพันธุ์ไม้เลื้อยที่ซับซ้อนกัน ความอ่อนช้อยของดอกไม้ ใบไม้ ความ
โค้งงอในธรรมชาติงานออกแบบในลักษณะนี้จึงนิยมนำรูปแบบในธรรมชาติมาตัดทอนรายละเอียด ให้เหลือ
ไว้เพียงเค้าโครงเท่านั้น และนำมาใช้ประดับตกแต่ง โดยเน้นการนำไปตกแต่งบนพื้นผิวหน้า(Surface Decoration) ของเครื่องใช้ เครื่องแต่งกาย อาคารสถานที่เป็นต้น โดยมักใช้สีคล้ายกับสีจากธรรมชาติ นักออกแบบที่มีชื่อเสียงได้แก่ คลิมท์ (Gustav Klimt) ศิลปินชาวออสเตรีย ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาได้แก่ จุมพิต (The Kiss) ผลงานของเขาใช้เส้นที่อ่อนช้อย พลิ้วไหว สัดส่วนโค้งงอบิดเบี้ยว โดยจะนิยมวาดภาพผู้หญิงที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่หรูหรา นอกจากนี้ยังมีการนำสีทองเข้าใช้
ในผลงานอีกด้วย


2. สไตล์ศิลปะยุคใหม่

2.1 โฟวิซึม
                   เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1905 โดยศิลปินรุ่นใหม่ในกรุงปารีสที่ได้รับอิทธิพลมาจากโพสอิมเพรสชั่นนิสต์โดยเฉพาะ ฟาน ก๊อก และเซนซานน์ ผลงานนิยมใช้เส้นและรูปทรงที่บิดเบี้ยว ใช้สีสดใส สีแท้โดยไม่มีการผสมหรือเบรค และการใช้สีตรงข้ามตัดกันอย่างรุนแรง โดยทิ้งรอยแปรงเอาไว้จำนวนมาก นอกจากนี้ยังสร้างรูปทรงในภาพจากสีล้วนๆ จนถูกนักวิจารณ์ศิลปะประชดประชันว่าเหมือนงานของสัตว์ป่ า (Fauves) จึงเป็นที่มาของชื่อสไตล์ว่าโฟวิซึ่ม (Fauvism) ถึงแม้ศิลปะใน
แบบโฟวิซึมจะมีอายุสั้น แต่ก็ส่งอิทธิพลต่อศิลปะในกลุ่มเอกเพรสชั่นนิซึมอย่างมาก
ศิลปิน
        มาตีสส์ (Henri Matisse) เขาถือว่าเป็นศิลปินในกลุ่มนี้ที่มีคนรู้จักมากที่สุด เริ่มต้นทำผลงานในแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นสไตล์ของตัวเองในที่สุด ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาได้แก่ภาพ มาดามมาตีสส์ : เส้นสีเขียว (Madame Matisse : The Green Line) ซึ่งผลงานในระยะหลังของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่ศิลปะนามธรรมหรือแอบสแทรกต์ (Abstract) แม้จะไม่ได้มีลักษณะเป็นนามธรรมโดยสมบูรณ์แต่ก็พยายามสื่อเรื่องราวในลักษณะนามธรรมของเสียงดนตรีออกมาเป็นภาพ คือผลงานชื่อ ประสานเสียงสีแดง (Harmony in Red)

2.2 เอกซเพรสชั่นนิซึม
                เริ่มต้นโดยกลุ่มศิลปินในประเทศเยอรมันที่สนใจการใช้สีและการแสดงออกของกลุ่มโพส-อิมเพรสชั่นนิสต์ โดยเรียกกันว่ากลุ่ม เอกเพรสชั่นนิสต์ (Expressionist) ซึ่งเป็นสไตล์ทีได้รับความนิยมค่อนข้างยาวจนถึงยุคสงครามโลกครั้งที่ 1งานศิลปะในกลุ่มนี้ใกล้เคียงกับโฟวิซึมในแง่การใช้สีเพื่อแสดงออกอารมณ์ความรู้สึก แต่เนื้อหาจะเกี่ยวกับการแสดงความรู้สึกภายในของศิลปินที่มีต่อสังคมการเมือง เป็นต้น โดยจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
     1. เดอะบริดจ์ (The Bridge) ก่อตั้งที่เมืองเดรสเตนในเยอรมัน ผลงานของศิลปินในกลุ่มนี้จะมีการใช้เส้นที่มีความหยาบ ใช้สีตัดกันอย่างรุนแรง ศิลปินที่เป็นแกนนำของกลุ่มนี้คือ เคียร์ชเนอร์ (Ernst Ludwig Kirschner) เขาเคยทำงานเป็นสถาปนิกมาก่อน ผลงานที่มีชื่อเสียงได้แก่ หญิงห้านางบนถนน ค.ศ. 1913 (Five Women in the Street of 1913) ที่สื่อถึงชีวิตของคนเมืองได้อย่างดีภาพวาดของเขาค่อนข้างมีความหยาบและเต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมมากมาย
     2. เดอะบลูไรเดอร์ (The Blue Rider) ก่อตั้งที่เมืองมิวนิคในเยอรมัน ศิลปินกลุ่มนี้จะนิยมใช้ภาพแบบแอบสแทรกต์ที่ดูไม่เป็นรูปภาพ ศิลปินที่มีชื่อเสียงในกลุ่มนี้คือ คานดินสกี (Wassily Kandinsky) เขาเป็นศิลปินรัสเซียที่อญุ่ในกลุ่มรุ่นแรกๆ โดยผลงานของเขาจะขจัดสิ่งที่เป็นภาพออกไปจนไม่สามารถมองออกว่าเป็นภาพของอะไร เห็นแต่ เส้น รูปร่าง รูปทรง และสีเท่านั้น โดยคานดินสกีนำองค์ประกอบเหล่านั้นมาจัดวางให้ลงตัว เขามักตั้งชื่อภาพตามดนตรี ดังนั้นจึงหมายความว่าเขานำเอาดนตรีมาบรรยายเป็นภาพในลักษณะแอบสแทรกต์นอกจากคานดิสกีศิลปินที่มีความสำคัญของกลุ่มเดอะบลูไรเดอร์อีกคนหนึ่งคือ มาร์ก
(Franz Marc) ผลงานของมาร์กมีความแตกต่างจากคานดินสกี้ตรงเขาไม่ได้พยายามขจัดภาพออกไปอย่างสิ้นเชิง แต่เขาจะวาดเป็นเพียงเค้าโครงของสิ่งที่เป็นภาพเท่านั้น จึงสามารถเข้าใจได้ว่าภาพของเขาตัดทอนมาจากอะไร ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือภาพ ม้าสีน้ำเงิน (Blue Horse)


2.3 คิวบิซึม
          Cubism ถือว่าเป็นสไตล์ที่มีอิทธิพลในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มากที่สุด เริ่มต้นที่ปารีส โดยมีการนำเอาช่องไฟมาใช้ในการตัดแบ่งวัตถุเป็นเหลี่ยมเป็นมุมให้เห็นถึงด้านต่างๆ รวมถึงตัดทอนคลี่คลายจากโลกแห่งความจริง เพื่อแสดงให้เห็นมุมมองที่หลากหลาบในรูปทรงต่างๆ โดย
กระบวนการสร้างงานจะสามารถแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ
     1. กระบวนการบาศกนิยมแบบหน้าตัด (Facet Cubism) เป็นกระบวนการการทำงานในระยะแรกของศิลปินกลุ่มนี้ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเซซานน์ ผลงานจะตัดทอนในส่วนที่ไม่ต้องการและเพิ่มเติมด้วยรูปทรงเรขาคณิต เน้นพื้นที่หักเหคล้ายเหลี่ยมของเพชร
     2. กระบวนการบาศกนิยมแบบวิเคราะห์ (Analytic Cubism) เป็นขั้นตอนที่พัฒนาขึ้นมาจากกระบวนการแรก โดยการนำรูปทรงมาทำให้บิดเบี้ยว แตกสลายมากขึ้น และนำเสนอรูปทรงเหล่านั้นให้คละเคล้าและรวมอยู่ในพื้นระนาบเดียวกัน สีที่ใช้จะเป็นสีน้ำตาลหรือสีเทาเพียงอย่างเดียว
     3. กระบวนการบาศกนิยมแบบสังเคราะห์ (Synthetic Cubism) เป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์รูปทรงขึ้นมาใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามสภาพความเป็นจริง โดยเฉพาะสีที่จะมีความสดใสมากขึ้น
ศิลปิน
     1. ปิกัสโซ เขาถือว่าเป็นศิลปินคิวบิซึมที่มีความสำคัญที่สุด โดยยุคแรกเขาทำงานในแบบอิมเพรสชั่นนิซึ่มและโพสอิมเพรสชั่นนิซึม แต่สไตล์ที่เป็นตัวเขาจริงๆคือ ซิมโบลิซึ่ม ซึ่งเป็นยุคที่เรียกว่า ช่วงสีน้ำเงิน (Blue Peroid) ผลงานของเขาในยุคนี้จะนิยมใช้สีน้ำเงินแสดงถึงความเศร้าหดหู่ ภายหลังผลงานของเขาก็มีการตัดทอนรูปทรงจนเกิดเหลี่ยมมุม อย่างในภาพ สาวงามแห่งเมืองอาวิญอง (Les Demoisells d’Avignon) ซึ่งแตกภาพออกเป็นรูปทรงเรขาคณิต และเน้นเส้นขอบคม
เข้ม เป็นมุมแหลม นอกจากงานจิตรกรรมปิกัสโซก็ทำงานในแบบประติมากรรมชื่อ หัวผู้หญิงนางหนึ่ง (Head of a Woman) และงานในรูปแบบคอลาช (Collage) คือการตัดภาพออกมาเป็นส่วนต่างๆแล้วนำมาประกอบเป็นภาพใหม่ ผลงานชิ้นสำคัญขนาดใหญ่ของเขาคือ แกร์นิกา (Guernica)
     2. บราก (George Braque) เขาได้รับอิทธิพลการทำงานมาจากเซซานน์และชอบภาพสาวงามแห่งเมืองอาวิญองของปิกัสโซมาก ภาพที่มีชื่อเสียงของเขาคือภาพ ไวโอลินกับเหยือกน้ำ(Violin and Pitcher)


2.4 ฟิวเจอริซึม
             เป็นกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลมาจากคิวบิซึม เป็นการผสมผสานรูปทรงเข้ากับการเคลื่อนไหวเนื้อหาของศิลปะในแนวฟิวเจอริซึมจะเกี่ยวกับความเร็ว การเดินทาง เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อผู้คนในสังคม ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่อิตาลี ผลงานจึงแสดงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและรุนแรง ศิลปินที่มีชื่อในกลุ่มนี้คือ บอชโชนิ (Umberto Bocioni) กับผลงานประติมากรรมที่มีชื่อเสียงคือ รูปทรงเอกลักษณ์ของความต่อเนื่องในช่องไฟ (Unique Forms of Continuity in Space) เป็นรูป
สำริดของผู้ชายก้าวเดินอย่างรวดเร็ว


2.5 ดาดาอิซึม
              คำว่าดาดา (Dada) เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ม้าไม้ของเด็ก เป็นคำที่ถูกนำมาใช้เป็นชื่อของกลุ่มแนวร่วมปัญญาชนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยรวมกลุ่มกันที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งปรกอบด้วยศิลปิน นักแสดง นักเขียนที่ไปชุมนุมกันแถวคาเฟ่ในเมืองซูริค เพื่อถกเถียงถึงประเด็นต่างๆ ดังนั้นดาดาจึงไม่ใช่สไตล์ศิลปิน แต่เป็นแนวคิดต่อต้านศิลปะ (Anti-Art) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ท้าทายสมมุติฐานเดิมเกี่ยวกับศิลปะ และทดลองสิ่งใหม่ๆ ทัศนคติของกลุ่มนี้ต่องานศิลปะจึงค่อนข้างเลวร้าย ซึ่งแสดงออกในลักษณะเยาะเย้ย ถากถาง แดกดัน
ศิลปิน
     ดูช็อง (Marcel Duchamp) เขามักนิยมตั้งชื่อผลงานของเขาเป็นคำผวนหรือเล่นคำให้เกิดความหมายแปลกๆหรือประชดประชัน เช่น L.H.O.O.Q. ซึ่งสามารถอ่านออกเสียงได้หลากหลายและมีความหมายแตกต่างกัน โดยผลงานชิ้นนี้เป็นการเขียนหนวดเคราลงไปบนใบหน้าของโมนาลิซ่าของลีโอนาร์โด ดาวินชี โดยเขาเรียกผลงานในแบบ L.H.O.O.Q. ว่า “งานสำเร็จรูป” โดยงานสำเร็จรูปชิ้นที่รุนแรงที่สุดคือ โถปัสสาวะ ซึ่งเขาเอาโถปัสสาวะจริงๆมาทำลักษณะงานที่แสดงถึงความเป็นดาดาอีกรูปแบบคือ งานอาสซองบราช (Assemblage) หรืองานสื่อผสม ซึ่งนำเอาวัตถุต่างๆมาประกอบกันเป็นศิลปะงานศิลปะ ในบางครั้งก็นำเอารูปแบบหรือสไตล์ของศิลปะต่างๆมาปะปนผสมผสานเพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ ซึ่งแนวความคิดของดาดาส่งอิทธิพลถึงงานศิลปะที่ตามมาอย่างเซอร์เรียลลิสม์หรือป๊อปอาร์ท


2.6 เซอร์เรียลลิซึม
                Surrealism หมายถึง เหนือความเป็นจริง ซึ่งสมาชิกส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มดาดา โดยนำเอาทฤษฎีจิตวิทยาของซิกมันต์ ฟรอนด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาชาวออสเตรีย ในเรื่องจิตใต้สำนึกมาเป็นเหตุผลในการสร้างผลงานเชิงฝั่นเฟื่อง แปลก เหนือจริง โดยมีจุดประสงค์เพื่อต้องการแสดงออกถึงความปรารถนาของศิลปินในอิสระในการแสดงออกทางจินตนาการในรูปแบบใหม่เนื้อหาในงานของเซอร์เรียลลิสม์จะนิยมนำเสนอในเนื้อหาในลักษณะประชดประชันสังคม โดย
จำเป็นต้องอาศัยการตีความในผลงานสูงการทำงานสามารถแบ่งได้ 2 อย่างคือการนำวัสดุชิ้นเดียวหรือหลายชิ้นมาประกอบกันให้
เป็นรูปทรงแบบใหม่ และการสร้างรูปทรงแบบใหม่ขึ้น
ศิลปิน
     1. เด คิริโค (Giorgio de Chirico) เขามักเขียนภาพที่แสดงให้เห็นถึงเมืองร้างที่มีขนาดใหญ่ลึกลีบ โดยมักใช้สีที่ขุ่นหมองแสดงถึงความเศร้า นอกจากนี้ยังมีการนำส่วนประกอบต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้องกันในภาพมาจัดวางเพื่อให้เกิดความสงสัยและความลึกลับ ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือเพลงรัก (Le chant d’amour)
     2. ชากัลล์ (Marc Chagall) ศิลปินชาวรัสเซีย ผลงานของเขาช่วงต้นได้รับอิทธิพลมาจากคิวบิสม์ ภายหลังจึงได้มีการพัฒนารูปแบบเฉพาะตัวของตนเองขึ้น โดยการนำลักษณะการวาดภาพแบบรัสเซียมาใช้ ผลงานของเขาสื่อถึงจินตนาการ ความฝัน ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาได้แก่ วันเกิด(The Birthday) และ ชั้นและหมู่บ้าน (I and the Village)
     3. เอิร์นส์ (Max Ernst) ภาพเขียนของเขาไม่มีรูปร่างที่แน่นอน โดยจะเป็นรูปภาพของมนุษย์ในหลายกระบวนท่า จัดวางผสมผสานเข้ากับภาพภูมิทัศน์ที่แปลกประหลาด โดยมักใช้เทคนิคการถูภาพ โดยนำวัตถุมาวางแล้วถูด้วยถ่านหรือดินสอเพื่อให้เกิดเป็นรูปภาพบนผ้าใบผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือ ดวงตาของความเงียบ (The Eye of Silence)
     4. ดาลี (Salvador Dali) ศิลปินชาวสเปนที่ถือว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดในศิลปินกลุ่มเซอร์เรียล
ลิสม์ ผลงานของเขาใช้เทคนิคการวาดภาพแบบคลาสสิคเข้ามาผสม ทั้งทางด้านรูปทรง แสงเงาที่ดูสมจริง มีรายละเอียดในภาพสูง เอกลักษณ์สำคัญของดาลีคือมักทิ้งในส่วนของพื้นที่ด้านหลังภาพเอาไว้โล่งๆกว้างใหญ่ ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือ The Persistence of Memory
     5. Miro (Joan Miro) ศิลปินชาวสเปน ผลงานของเขามีลักษณะใกล้เคียงกับคันดินสกี ซึ่งจะมีลักษณะเป็นนามธรรมสูง ดังนั้นบางครั้งจึงสามารถจัดเขาเป็นศิลปินในกลุ่มนามธรรมด้วย ผลงานที่มีชื่อเสียงได้แก่ นาหลังไถ (La terre Labouree)


2.7 เด สตีเจล
                 De Stijl เป็นภาษาดัชต์มีความหมายเดียวกับคำว่า The Style แปลว่าประบวนแบบชื่อกลุ่มมาจากนิตยสารศิลปะฉบับหนึ่ง ศิลปินในกลุ่มนี้เป็นสถาปนิกและนักออกแบบในประเทศฮอลแลนด์ พวกเขาเชื่อว่างานศิลปะและงานออกแบบควรทำเพื่อมุ่งไปสู่คนทั่วไปมากกว่ามุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และพยายามหาสไตล์ที่เป็นสากลนิยม ในด้านงานศิลปะพวกเขาได้อิทธิพลมาจากแนวคิดของ Cubism ในการใช้รูปทรงเรขาคณิต ศิลปินในกลุ่ม De Stijl นิยมใช้รูปทรงง่ายๆได้แก่ สี่เหลี่ยมมุมฉาก สี่เหลี่ยมผืนผ้า นิยมใช้เส้นที่หนาและสีขั้นที่ 1 คือ สีน้ำเงินเหลือง แดง หรือสีขาวและสีดำ การทำงานในลักษณะนี้บางครั้งเรียกกันว่า Neo-Plasticsim หรือรูปทรงแนวใหม่
ศิลปิน
     1. มอนดรีอัน (Piet Modriaan) เขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งนิตยสาร De Stijl ร่วมกับ ฟาน ดู
สเบิร์ก (Theo van Doesburg) ผลงานของเขาถือว่าเป็นผู้ริเริ่มของการทำงานในสไตล์นี้คือนิยมใช้
รูปทรงเหลี่ยม เรียบง่าย ใช้เส้นสีดำตัดขอบ และใช้แม่สีกับสีขาวดำเท่านั้น ผลงานที่มีชื่อเสียงได้แก่
ภาพ การจัดองค์ประกอบในสีน้ำเงิน สีเหลือง และสีดำ (Composition in Blue, Yellow and Black)
     2. ริตเฟลด์ (Gerrit Rietvield) เดิมทีเขาทำงานเป็นช่างไม้ ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือ
เก้าอี้สีแดง-น้ำเงิน (Red and Blue Chair) และบ้านชโรเดอร์ (Schroeder)


2.8 เบาเฮาส์
                  เบาเฮาส์ (Bauhaus) ถือว่าเป็นศูนย์กลางของงานออกแบบในสมัยนั้น เป็นสถาบันและความคิดที่มีความสัมพันธ์กับการสร้างสรรค์ระหว่างเทคโนโลยีและศิลปะ ดังนั้นเบาเฮาส์จึงเป็นแหล่งรวมตัวของศิลปินหัวก้าวหน้า (Avant-garde) ไม่ว่าจะเป็นจิตรกร ประติมากร สถาปานิกก่อตั้งโดย โกรปิอุส (Walter Gropius) ที่เมืองเวียนนา โดยเริ่มแรกนั้นพวกเขาได้รับอิทธิพลมาจากกลุ่ม เด สตีลเจ โดยนำแนวคิดนั้นมาปรับเข้ากับสภาพของสังคม และการใช้งานได้จริง หัวใจของเบาเฮาส์คือการนำประโยชน์ใช้สอยไปสู่การออกแบบความคิดของเบาเฮาส์ได้ถ่ายทอดสู่งานทัศนสื่อสารทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นงานถ่ายภาพ
ตัวอักษร เป็นที่ยอมรับกันว่าเบาเฮาส์เป็นจุดกำเนิดของอาชีพออกแบบ (Professional Design) อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการศึกษาด้านการออกแบบและปรัชญาการออกแบบ นอกจากโกรปิอุสแล้วผู้นำที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆได้แก่ เบเยอร์ (Bayer) โมฮอย-นอจ (Moholy-Nagy) คลี (Klee) และอัลเบิร์ส(Albers) ผลงานที่มีชื่อเสียงของเบาเฮาส์คือ เก้าอี้ของ Marcel Breuer ทำจากเหล็กท่อนกลม

เทพในความเชื่อของวัฒนธรรมชาวตะวันตก

   
 Hades






       เฮดีส  (อังกฤษ: Hades, /ˈheɪdiz/) ในที่ชาวโรมันเรียกว่า พลูโต (Pluto) เทพเจ้าผู้ปกครองนรกและโลกหลังความตาย ในตำนานถือว่ามีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของ ซูส ราชาแห่งเหล่าเทพ และยังถือได้ว่าเป็นเจ้าแห่งทรัพย์เพราะเทพเฮดีสมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกอย่างภายใต้พื้นพิภพ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดีส (Dis) ซึ่งแปลตรงตัวว่า ทรัพย์สิน
 
เฮดีส แท้ที่จริงแล้วเป็นเทพที่มีความยิ่งใหญ่อีกองค์หนึ่งเช่นเดียวกับซูส หรือ โพไซดอน เนื่องจากเป็นพี่น้องกัน แต่ทว่าความที่เฮดีสเป็นผู้ปกครองนรกซึ่งเป็นโลกใต้ดินซึ่งมีแต่ความมืดมิดและน่ากลัว จึงไม่ใคร่ขึ้นไปยังเขาโอลิมปัส อีกทั้งเทพองค์อื่น ๆ ก็ไม่ใคร่ที่จะต้อนรับเฮดีสด้วย ดังนั้น เฮดีสจึงไม่มีชื่อเป็นหนึ่งในเทพโอลิมปัสเฉกเช่นองค์อื่น ๆ
 
เฮดีส ได้ชื่อว่าเป็นเทพที่มีความเที่ยงธรรมอย่างมาก ตัดสินความดีชอบของคนตายโดยปราศจากอคติใด ๆ ทั้งสิ้น กล่าวกันว่า พระองค์มีหมวกวิเศษอยู่ใบหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้สวมหายตัวได้ ซึ่งในครั้งที่ทำสงครามกับเหล่าไททันส์นั้น เฮดีสใช้หมวกนี้ลอบเข้าไปทำลายอาวุธของไททันส์ก่อนการต่อสู้ และพระองค์มีเทพผู้ช่วยในการตัดสินความดีชั่วในยมโลกอีก 3 องค์คือ ราดาแมนทีส, ไมนอส, ไออาคอส ที่เรียกว่า สามเทพสุภา และยังมีฮิปนอส เทพแห่งการหลับใหล และ ทานาทอส เทพแห่งความตายคอยช่วยอีก
 
เฮดีส มีชายาองค์หนึ่งชื่อ เพอร์ซิโฟเน (Persephone) เป็นเทพแห่งฤดูใบไม้ผลิซึ่งเป็นพระธิดาองค์เดียวของ ดีมิเทอร์ (Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเกษตร จากความงดงามของนางเพอร์ซิโฟเน ทำให้เฮดีสลืมเลือนไปหมดสิ้นว่า นางที่แท้จริงคือหลานสาวแท้ ๆ ของตน เพราะว่า ดีมิเทอร์มีศักดิ์เป็นพระขนิษฐาของพระองค์เอง เมื่เฮดีสได้ฉุดนางไปเป็นเทพีแห่งนรกคู่กัน ทำให้เกิดเป็นกรณีพิพาทขึ้นระหว่างทวยเทพแห่งโอลิมปัส ซูสซึ่งเป็นองค์ประธานได้ตัดสินให้เฮดีสต้องคืนเพอร์ซิโฟเนแก่ดิมิเทอร์ เฮดีสจึงใช้อุบายทำให้เพอร์ซิโฟเนสามารถกลับมาออกมาจากนรกได้เพียงแค่ปีละ 3 เดือน และเหตุนี้จึงเป็นเหตุที่ทำให้ฤดูใบไม้ผลิเกิดขึ้นเพียง 3 เดือนเท่านั้น
 
ชาวกรีกโบราณจะถวายการสักการะแด่เฮดีสด้วยแกะดำ และเป็นพิธีกรรมที่เร้นลับสืบมาที่ได้ค่อนข้างยาก แต่ก็สืบทอดกันมาว่า หากจะบูชาเทพแห่งความตายหรือเทพอันใดที่เป็นสัญลักษณ์ของความน่ากลัวหรือชั่วร้าย ต้องบูชายัญด้วยแพะหรือแกะดำ

ศิลปะวัฒนธรรมตะวันตกในประเทศไทย



พระที่นั่งอนันตสมาคม
















                   พระที่นั่งอนันตสมาคม งดงามด้วยศิลปะแบบอิตาเลียนเลอเนสซองซ์ ผสมกับศิลปะแบบนีโอคลาสสิก โดยรูปทรงของพระที่นั่งอนันตสมาคมนี้ เป็นแบบเดียวกันกับวิหารเซนต์ปีเตอร์แห่งกรุงโรม และโบสถ์เซนต์ปอล ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ  ช่วงบนของอาคารเป็นรูปโดม ทำจากทองแดง มีโดมใหญ่อยู่ตรงกลาง และโดมเล็กๆอยู่ลายรอบอีก 6 โดม ตัวอาคารสร้างจากหินอ่อนสีขาว ริ้วลายสีน้ำตาลแก่แกมหม่น สั่งเข้ามาจากเมืองคาร์รารา ประเทศอิตาลี อีกทั้งภายในยังงดงานไปด้วยภาพเขียนแบบเควสโกด้านบนเพดานโดม โดยฝีมือจิตรกรชาวอิตาเลียน ด้วยฝีมือของจิตรกรชาวอิตาเลียน ชื่อนายซี .รีโกลี และศาสตราจารย์กาลิเลโอ กินี โดยรูปเหล่านั้น จะเป็นรูปที่แสดงถึงเหตุการณ์เด่นๆ ในแต่ละรัชกาล ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง รัชการที่ 6



  สถานีรถไฟกรุงเทพ





               
                    สถานีรถไฟกรุงเทพ(สถานีรถไฟหัวลำโพง)   เป็นอาคารที่สร้างจากรูปแบบสถานีรถไฟในทวีปยุโรป ตามอิทธิพลของสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิก ลักษณะอาคารใช้หลังคาเป็นโครงเหล็กรูปโค้งเกือบครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ห้องโถงใหญ่ที่ใช้รองรับผู้โดยสารทั้งหมด บริเวณส่วนกลางเป็นโค้งมุงด้วยวัสดุใส เพื่อให้เกิดแสงสว่างทั่วทั้งห้อง เน้นทางเข้าด้วยโถงยาวเท่าทางกว้างของโครง หลังคาห้องโถงทำเป็นหลังคาแบน มีลูกกรงคอนกรีตโดยรอบ รองรับด้วยเสา 2 ต้นคู่ ตลอดระยะมีการประดับตกแต่งด้วยหัวเสาแบบไอออนิก ตามแบบคลาสสิก ตั้งอยู่เป็นระยะๆไป และมีห้องลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมอยู่ปลายสุดของโค้ง เพื่อหยุดความกว้างของโค้งอาคาร 

แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกตะวันตก ที่น่าสนใจ

แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกตะวันตก - สหราชอาณาจักร
มหาวิหารแคนเตอร์บรี (Canterbury Cathedral)




บทนำ
                    
                      มหาวิหารแคนเตอร์บรี (อังกฤษ: Canterbury Cathedral) เป็นมหาวิหารนิกายอังกลิคันตั้งอยู่ที่เมืองแคนเตอร์บรี ในสหราชอาณาจักร เป็นวัดประจำตำแหน่งของประมุขสูงสุดของนิกายอังกลิคันทั้งหมด และเป็นที่ตั้งบัลลังก์นักบุญออกัสติน (Chair of St. Augustine) ชื่อที่เรียกกันเป็นทางการของมหาวิหารแคนเตอร์บรีคือ “Cathedral and Metropolitical Church of Christ at Canterbury” 



ที่ตั้ง ภูมิประเทศ

      
                               ประเทศอังกฤษตั้งอยู่บน เกาะบริเทนใหญ่ และอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป อาณาเขตติดต่อ ทางทิศเหนืออยู่ติดกับสกอตแลนด์ ทิศตะวันตกอยู่ติดกับเวลส์ ทิศที่ไม่อยู่ติดกับแผ่นดินเลยคือทิศตะวันออก ซึ่งอยู่ติดกับทะเลไอริช ทะเลเซลติก และทะเลเหนือ ส่วนทางทิศใต้ มีช่องแคบอังกฤษคั่นกับทวีปยุโรป โดยจุดที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากประเทศฝรั่งเศส เป็นระยะทาง 34 กิโลเมตร บริเวณช่องแคบโดเวอร์คำว่าอิงแลนด์” (England) ซึ่งเป็นชื่อในภาษาอังกฤษของประเทศอังกฤษในปัจจุบัน ได้มาจากชื่อ อังเกิล” (Angles) ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในบรรดาชนเผ่าเยอรมันหลายเผ่าที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนนี้ ตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 6 โดยมาจาก “Engla Land” และกลายมาเป็น “England” ในปัจจุบันประเทศอังกฤษเป็นประเทศหนึ่งใน สหราชอาณาจักร (ชื่อเต็มคือ United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland หรือ สหราชอาณาจักรบริเทนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ) โดยประกอบด้วยอีก 3 ชาติ ได้แก่ สกอตแลนด์ เวลส์ และ ไอร์แลนด์เหนือ (สกอตแลนด์ และเวลส์ ตั้งอยู่บน เกาะบริเทนใหญ่เหมือนกับประเทศอังกฤษ ส่วน ไอร์แลนด์เหนือ ตั้งอยู่บนเกาะไอร์แลนด์) โดยประเทศทั้ง 4 ได้รวมตัวกัน โดยมีการพัฒนายุทธศาสตร์และผลประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกัน 
       สังฆราชองค์แรกของมหาวิหารแคนเตอร์บรีคือนักบุญออกัสตินแห่งแคนเตอร์บรีที่เคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่สำนักสงฆ์ลัทธิออกัสติเนียนเซ็นต์แอนดรูที่กรุงโรม สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 1ทรงส่งนักบุญออกัสตินไปเผยแพร่คริสต์ศาสนาที่อังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 597 นักบุญบีด (Bede the Venerable) กล่าวไว้ในจดหมายเหตุประวัดิศาสนาของประชาชนชาวอังกฤษ” (The Ecclesiastical History of the English People) ว่านักบุญออกัสตินเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิหารแคนเตอร์บรี และท่านเป็นสังฆราชองค์แรกของมหาวิหารนั้น การสำรวจทางโบราณคดีเมื่อปีค.ศ. 1993 พบร่องรอยของวัดแบบแซ็กซอนใต้ฐานวัด ซึ่งสร้างทับสิ่งก่อสร้างแบบโรมัน วัดแรกอุทิศให้กับนักบุญเซวิเออร์ (St. Saviour) นอกจากนั้นนักบุญออกัสตินยังควบคุมการก่อสร้างสำนักสงฆ์เบ็นนาดิคตินเซ็นต์ ปีเตอร์และพอล (Abbey of St. Peter and Paul) นอกกำแพงเมืองแคนเตอร์บรีด้วย ต่อมาวัดนี้เปลี่ยนมาอุทิศให้กับตัวนักบุญออกัสตินเอง และใช้เป็นสถานที่ฝังสังฆราชมาเป็นเวลาหลายร้อยปีเพราะความสำคัญของมหาวิหารแคนเตอร์บรี ทำให้มหาวิหารนี้ได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
การก่อสร้าง

แรกสุด ค.ศ. 602
ผู้สร้างแรก 
นักบุญออกัสติน


องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
แบบสถาปัตยกรรม โรมานเนสก์และกอธิค
แบบผัง กางเขน
ลักษณะเด่นๆของสถาปัตยกรรม คือความเทอะทะ เช่นความหนาของกำแพง ประตูหรือหลังคา/เพดาน
โค้งประทุน เพดานโค้งประทุนซ้อน การใช้โค้งซุ้มอาร์เคดในระหว่างช่วงเสาหนึ่ง ๆ และในแต่ละชั้นที่ต่างขนาดกันเสาที่แน่นหนา หอใหญ่หนัก และ การตกแต่งรอบโค้ง ลักษณะตัวอาคารก็จะมีลักษณะเรียบ สมส่วนมองแล้วจะเป็นลักษณะที่ดูขึงขังและง่ายไม่ซับซ้อน
     
     มหาวิหารแคนเตอร์บรี มีองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันอย่างสมดุลและลงตัวคือมีความงดงามความแข็งแรงทนทานที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวทั้งสัดส่วนของอาคารรูปแบบตัวอาคาร และอีกทั้งยังมีความประณีตสวยงามที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดีซึ่งควรคู่แก่การได้รับยกย่องเป็นมรดกโลก

สิ่งที่น่าสนใจ
เก้าอึ้นักบุญออกัสติน
บริเวณสงฆ์แบบกอธิคสมัยต้น
ชาเปลตรีเอกานุภาพสำหรับวัตถุมงคลของนักบุญเบ็คเค็ท
หอโคโรนา


แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง
Bigben

   
                       บิ๊กเบน ตึกสภา เวสต์มินสเตอร์ ทั้งหมดคือ สัญลักษณ์ของลอนดอนที่ไม่เคยเสื่อมความสำคัญ ตัวบิ๊กเบนและอาคารรัฐสภาตั้งอยู่ริมแม่น้ำเทมส์ ขณะนี้กำลังขัดสีฉวีวรรณเป็นการใหญ่จึงเห็นเป็นสีทองอร่าม ไม่ดำหม่นมัวด้วยคราบเขม่าควันและการเวลาเหมือนในอดีต มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์กำลังซ่อมแซมเช่นกัน เหมือนกับสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ในบริเวณใกล้เคียงที่ทำให้การเดินข้ามถนนไปมาของนักท่องเที่ยวออกจะ ลำบากไม่ใช่น้อยเลย


London Eye


                                  บริติช แอร์เวยส์ ลอนดอน อาย (British Airways London Eye) กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอังกฤษไปซะแล้ว สำหรับบริติช แอร์เวยส์ ลอนดอน อาย ที่สร้างขึ้นเพื่อรับปี สหัสวรรษ 2000 โดยสายการบินบริติช บริติช แอร์เวยส์ ลอนดอน อาย เป็นจุดชมวิว ที่มีลักษณะเป็นกงล้อหมุน มีความสูง 135 เมตร จุดชมวิวนี้ สร้างขึ้นภายใต้แนวความคิด อากาศ น้ำ พื้นโลก และเวลา


สะพานทาวเวอร์ (Tower Bridge)



                     สร้างขึ้นเหนือแม่น้ำเทมส์ โดยสะพานแห่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นจุดชมวิว ที่มีความสูงถึง 140 ฟุต เท่านั้น แต่ภายในของฐานสะพาน ที่ถูกสร้างขึ้นให้มีลักษณะเป็นหอสูง ยังเป็นที่ที่จัดนิทรรศการ เกี่ยวกับประเทศอังกฤษ จนถึงมีจัดแสดงห้องอบไอน้ำสมัยวิกตอเรียนด้วย

แหล่ง ของที่ระลึก

แฮรอทห้างหรูแห่งลอนดอน ( Harrods )

        Harrods ที่ได้ชื่อว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งของโลก   ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงลอนดอน เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นห้างหรูด้วยในเวลาเดียวกัน ประกอบด้วยร้านค้ากว่า 300 ร้านในพื้นที่ทั้งหมดเจ็ดชั้น จึงเป็นที่ที่เหมาะสำหรับการใช้เวลาเดินเที่ยวและจับจ่ายใช้สอย การตกแต่งภายในของที่นี่ก็มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ มีความเป็นอียิปต์เข้ามาผสมผสานด้วย
        มีการลดราคาครั้งใหญ่ ประเภทลดเกือบทั้งห้าง แค่ปีละสองครั้งเท่านั้น คือช่วงเดือนมกราคม และเดือนกรกฎาคม 

ของฝากยอดฮิตจากห้าง Harrods






กระเป๋า PVC ที่มียี่ห้อ Harrods   โดยราคานั้น ก็ อยู่ที่ประมาณ 10-20 ปอนด์




ตุ๊กตาหมี ที่มียี่ห้อ Harrods ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 15-40 ปอนด์



ของฝากที่ classic ที่สุดเลยก็ว่าได้ นั้นคือ Chocolate จะถูกบรรจุลงในกล่องที่มีความสวยงาม เหมาะกับการนำเป็นของฝากยิ่งนัก และก็มียี่ห้อ Harrods ติดอยู่อีกเช่นกัน ราคาอยู่ที่ประมาณ 10 - 100 ปอนด์ ขึ้นกับขนาดที่ต้องการ 


บรรณานุกรรม